Posts tagged ‘Pongroofman’

บ้านใหม่


เมื่อวานวันอาทิตย์ที่ 8 มกรา..
ผมย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดที่ซื้อไว้เรียบร้อยแล้วละครับ.. หลังจากซื้อไว้ตั้งแต่เมษา ปีที่แล้ว ..

ชีวิตไม่เคยอยู่คอนโด เลยครับ แต่ เห็นเพื่อนๆ อยู่กัน .. เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยชอบ ผมว่า มันคับแคบ ไม่เหมือนบ้าน .. จนกระทั่ง ปีที่แล้ว เจอคอนโดที่นี่ .. ทำเล ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก ประมาณ 7 km (7 km ของกรุงเทพฯ อาจเดินทางด้วยรถยนต์เกินชั่วโมงได้) ที่สำคัญคือ ใกล้กับ ช่องทางการเดินทาง หลายแบบ ทั้งเข้าเมือง และ ออกเมือง ผมเลยตัดสินใจ ซื้อไว้เพื่อจะปักหลักอยู่ที่นี่ ..

อย่างน้อยก็ คงเป็นสิบปี .. ถ้าไม่เปลี่ยนที่ทำงาน คือกะว่า อยู่กันจนเกษียณ..

อากาศเมื่อคืนถือว่าดี ไม่ร้อน เย็นๆ แต่ ลมไม่แรงเหมือนวันอื่นๆ .. ดึกๆ ผมเปิดคอมพิวเตอร์ นั่งดูรูป ที่ ถ่ายไว้ ช่วงหยุด ปีใหม่ บรรยากาศมันเงียบและเหมาะกับการทำอะไรที่ต้องใช้สมาธิดีครับ . แป๊บเดียว เวลาก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว

สังเกตุว่า ตอนหัวค่ำ ยุงไม่ค่อยมี แต่ สัก สี่ทุ่ม มีบินมาบ้างเหมือนกัน ผมตั้งใจว่า จะไม่ใส่ มุ้งลวด .. เพราะ มันดูไม่สวย .. คงต้องลองดูอีกสักพัก ว่า จะทำอย่างไรดี เพราะ ช่วงนี้ เปิดประตู ให้ลมวิ่งผ่าน ก็ เย็นสบายดีแล้ว ..

ห้องที่ทำไว้ ผมเน้นต้ามการใช้ของผมเอง ผมทำไม่กี่อย่างในห้อง ก็ แบ่งตามนั้่น มีพื้นที่ให้นั่งทำงาน มีพื้นที่ให้พักผ่อน ส่วนเรื่อง รับแขก ต้อนรับเพื่อน ก็ไม่ได้เน้นอะไรมาก เพราะ ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้นัดมาที่ห้องอยู่แล้ว ก็ใช้พื้นที่ที่ พักผ่อนนั่นแหล่ะครับ รับแขกไปด้วยในตัว

ก่อนเข้ามาอยู่ห้องนี้ ผมไป”ซ้อมอยู่” อีกห้องหนึ่ง มาก่อน และ พบว่า การอยู่คนเดียว ค่าใช้จ่าย เรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ถ้าวินัยดีๆ ก็ ควบคุมได้ครับ

ค่าไฟ เดือนละ 500 บาท

ค่าน้ำ เดือนละ 90 บาท

อันนี้คืออยู่แบบ พอดีๆ แบบของผมครับ .. คือ เปิดแอร์เท่าที่จำเป็น พักผ่อนดูหนัง ฟังเพลงบ้าง

คาดว่า ห้องใหม่ มีพื้นที่ นั่งทำงาน เปิดคอมฯ ได้ ผมว่าโอกาสที่ค่าไฟ ขยับขึ้้นน่าจะมี เพราะ ทำงานและเปิดเพลงฟังไปด้วย . เพลิน แต่ ก็มีค่าใช้จ่าย

สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากมาอยู่คอนโด แบบนี้ ก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัย ของตัวเราก่อนล่ะครับ .. ทางเข้าของคอนโดผม มีทางเดียว คือ ทาง Lift นั่น เป้นระบบความปลอดภัยของที่นี่เขา ..  เวลาเข้าก็ต้องใช้ Key Card ที่แต่ละ ห้องจะได้รับมาห้องละ 2 ใบ ถ้า ห้องไหน สมาชิกเยอะ ก็ต้องบริหารจัดการกันก่อน

นิติแจ้งว่า ตอนนี้ให้สองใบ สำหรับห้องที่ต้องการมากกว่า สอง ให้รอดู Requirement ของลูกบ้าน และความพร้อมของระบบเหล่่านี้กันก่อน อนาคตอาจะมีการปรับเปลี่ยน สำหรับผมตอนนี้ สองใบ ก็ถือว่าพอ

ทางเข้ามีทางเดียว แต่ทางออก มีหลายทาง ทางออก นอกจาก จะใช้ทางเดียวกันกับทางเข้าแล้ว ตึกผม สามารถออกได้อีก สามทาง ซึ่ง ทั้ง สามทางเป็นบันไดหนีไฟ

ผมโชคดี ห้องผมอยู่ใกล้กับบันไดหนีไฟ บ่อยครั้งที่ผมเดินลงบันไดหนีไฟ มากกว่า ใช้ลิฟ เพราะนอกจาก ออกกำลังกายแล้ว ยังได้เรื่องความคุ้นเคย กับ เส้นทาง และ ช่วยประหยัดค่าไฟส่วนกลางได้อีกทางหนึ่งด้วย ..

ค่าไฟส่วนกลาง ใช้น้อยลง ก็มีเงินเหลือ ไปปรับปรุงเรื่องอื่นๆ .. ผมคิดอย่างนั้น ..

ความปลอดภัยในการเข้าออก เช็คเรียบร้อยแล้ว ว่า เวลาออกออกต่รงไหนได้บ้าง .. ก็มาสนใจ ระบบในห้องบ้าง

ระบบความปลอดภัยในห้อง มี อยู่สามเรื่องครับ

  1. ระบบตัดไฟฟ้า อันนี้ อยู่ในตู้ควบคุมไฟ ที่ส่วนใหญ่เปิดประตูเข้ามา เงยหน้าดูด้านบนใกล้ๆ ประตูก็จะเจอ ในนี้ จะมี Circuit Breaker คอยตัดไฟกรณีที่มีการช๊อต โดยตัวสะพานไฟ จะตกลง อันนี้ ช่างไฟเขาเรียกว่า Breaker มัน Trip ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งในบ้าน หรือ สายไฟ เกิดการช๊อตกัน ให้ทิ้งไว้สักนาที ลอง reset ด้วยการโยกใหม่ แล้ว ดูว่า มัน Trip อีกหรือเปล่า ถ้าเป็นอีก ให้หาสาเหตุ ว่า อะไร มัน ช๊อต ถ้าไม่มีความรู้ตามช่างไฟ ครับ สอบถามที่นิติ ให้ส่งช่างมาดูได้ครับ
  2. ระบบเตือนควัน หรือ Smoke detector จะเป็น อุปกรณ์ ที่ อยู่กลางห้อง ปกติ จะมีฝาครอบสีแดงติดอยู่ ที่ครอบเพราะ ต้องการป้องกันฝุ่นที่จะไปกระตุ้นให้เครื่องทำงานได้ (เจอควันมันยังร้อง ฝุ่นนี่ ไม่เหลือครับ ) เมื่อย้ายเข้าห้อง สิ่งแรก คือ เอาฝาครอบออก ก็จะเห็นเครื่องขาวๆ มีไฟ กระพริบติดอยู่เป็นระยะ ถ้าไฟไม่กระพริบ ให้ แจ้ง นิติ มาตรวจดูด่วน เพราะ แสดงวา่ ตัวระบบ มีปัญหา มันจะไม่เตือน ซึ่งบางที อาจเป็นทั้งระบบ ไม่ได้เป็นเฉพาะ ห้องเรา ดังนั้น เจอแล้ว ต้องแจ้ง นิติ เลยครับ
  3. ระบบจับความร้อน อุปกรณ์นี้จะมีอยู่ในห้องครัว จะตรวจจับ และ ทำงานเมื่ออุณหภูมิสูง หน้าตาคล้ายๆ กับ ตัว Smoke detector แต่ ตรวจจับคนละอย่าง

เข้ามาวันแรก ต้องรู้เรื่องปลอดภัยก่อนเลยครับ .. ไม่รู้เดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย อยู่คอนโดไม่เหมือนอยู่บ้าน ต้องรับรู้เรื่องที่จำเป็นในการอยู่ร่วมกัน เพราะ แต่ละห้องอยู่ติดกันเป็นพืด  มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนึง ก็ จะมีผลกับอีกห้องนึงทันที .

อันนี้มีทั้ง เรื่องไม่ดี .. และ รวมถึงเรื่องดีๆ ด้วยเช่นกันครับ

 

 

 

 

ชีวิตในปี 2016


วันนี้เป็นวันแรกที่ย้ายมานั่งในห้องใหม่ ที่ คอนโด…
ครับ..ปีนี้ผมย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโด เป็น ปีแรก หลังจากอยู่ในบ้านมา 48 ปี

ห้องใหม่ แทบทุกอย่างใหม่หมด.. ซึ่งจะกลายเป็นของเก่าในวันพรุ่งนี้..

มีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเก่า นั่นคือ วิทยุเครื่องเก่าของผม ที่ซื้อมาเป็น สิบปีละ .. ด้วยน้ำพักน้ำแรง

เมื่อคืนเลยขนจากบ้าน มานั่่งต่อในห้อง เล่นเอา เกือบตีหนึ่ง .. เครื่องก็เครื่องเดิมนี่แหล่ะ แต่ ตอนต่อสาย กลับจำไม่ได้ ว่า เคยต่อไว้ยังไง ..

เหตุการณ์ในอดีต ที่อยู่ในความทรงจำ เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ค่อยๆ เลือนหาย คล้ายกับ การต่อสายวิทยุนี่เหมือนกัน… ลืมแบบสนิทเลยครับ .. ไม่มีเค้าเลย.. ต้องคลำๆ ไปสักพัก ถึงนึกออก

วันนี้ก็เลยมานั่งลำดับทบทวนความทรงจำดู ว่า มีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาในปีนี้บ้าง ..

นั่งลำดับดูแล้ว ปีนี้ เหมือน ความถี่กิจกรรมในชีวิต จะไม่เยอะ เหมือนปีที่ผ่านๆ มาก  หากแต่ ความหลากหลาย และ ลักษณะจะเติม”บางอย่าง” ให้ตัวเองมากกว่าเดิม

intro

งาน 
ชีวิตมากกว่าครึ่ง ของคนไม่เกษียณ ก็ใช้เวลาอยู่กับงาน .. ผมเอง ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ปีนี้งานท้าทายหลายงาน เป็นงานแปลกใหม่ สร้างของใหม่ ประเภทที่ว่า เห็นโจทย์ก็นึกกันไม่ออก เลยซึ่ง หลังๆ ก็มีแต่งานแบบนี้ถี่ขึ้น
ไอ้งานหมูๆ ทำง่่ายๆ แค่พลิกฝ่ามือ ไม่ค่อยมี่มาให้เห็นแล้ว.. เพราะ งานแบบนั้น น้องๆ ในทีม ก็จัดการได้หมด ตามวิชาที่แก่กล้าขึ้น ..
งานยาก แต่สิ่งที่เป็นกำไรชีวิต คือ การจัดการความเครียด ที่เคยเป็นปัญหา ตั้งแต่ สมัยเรียน มาถึงตอนนี้เหมือนจะจัดการได้ดีกว่าเดิม .. ดีกว่ามากๆ

นิ่งขึ้น มีสติขึ้น ไม่หุนหันพันแล่น ไม่กังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จนมากจนเกินไป… และ ที่สำคัญ มองโลกแง่ดีเก่งขึ้นกว่าเดิม

… ยอมรับเลยว่า การมองโลกแง่ดี เป็น เรื่องที่ต้องฝึก ไม่ใช่ นิสัย หรือ พรสวรรค์ .. การมองโลกแง่ดี ทำให้ สมองเปิดรับเรื่องใหม่ๆ และทำให้ เราเข้าใจได้ไวขึ้น

mask.jpg

เพื่อนร่วมงาน ก็เป็นอะไรที่ดีครับ ..

เมื่อต้นปีทีมงานผมทั้งทีม ได้ไปเข้า คอร์ส Realization ที่เป็น คอร์สที่ทาง OD จัดขึ้น .. คอร์สนี้ เป็นการทำให้คนเรารู้จักตัวเอง หลักสูตร ทีมงาน “ปลูกรัก” มาทำการจัดให้ .. ผมชอบมากครับ เหมือนกับ เราเอง เข้าใจตัวเอง มากขึ้น และ เห็นภาพของคนอื่น เปลี่ยนไป..

เข้าใจพฤติกรรมตัวเอง และรู้จักการจัดการกับ พฤติกรรมที่อาจไม่เหมาะ แบบเข้าใจ (และไม่รู้ตัว) ให้ดีขึ้น

เคยดูหนัง Matrix ตอนที่ พระเอก คีนูรีฟ เห็นทุกอย่าง่ เป็น ตัวเลข Code คอมพิวเตอร์ มั๊ย ครับ … ผมเริ่มมองเห็นพฤติกรรมตัวเอง และ คนอื่น เป็นแบบนั้น แหล่ะ ..

เห็นแล้วก็เริ่มเข้าใจคำว่า “ธรรมดา” มากกว่า ธรรมดา.. ^^

เพื่อนร่วมโลก

หลังๆ ผมมีเพื่อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ครับ .. ส่วนนึง ต้องบอกว่า มาจาก
Social network นี่ล่ะครับ ..
จากมีเพื่อน หลักร้อย คุยกับคนโน้นคนนี้ ไปเข้ากลุ่ม อะไรที่ชอบคล้ายๆ กัน เช่น ขี่มอเตอร์ไซต์  รถยนต์ หรือแม้แต่มาอยู่ในสังคมเดียวกัน เช่น คอนโด ล้วนแต่นำมาซึ่งโอกาส ให้รู้จักเพื่อนดีๆ อีกหลายต่อหลายคน

มีเพื่อนหลายคนเหมือนกัน ที่ได้ออกมาเจอกัน แล้วก็พูดคุยติดต่อกัน . เพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยเรียน ก็ออกมาเจอกันมากขึ้น (เริ่มแก่) เพื่อนใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก็จะอายุน้อยกว่า มีบ้าง ที่เป็นรุ่นพี่ (รุ่นพี่กว่าเราหายากขึ้นเรื่อยๆ )

เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหน ก็เจอคนรู้จักมากขึ้น .. ทำให้รู้สึกว่า ไม่เหงา และ มีเพื่อนทุกที่..ที่สำคัญเจอแต่เพื่อนดีๆ ทั้งนั้น

ครอบครัว

ครอบครัวเป็นสถาบันครับ .. ปีนี้เสริมความมั่นคงของสถาบันนี้ด้วยการ ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น

การลองเปลี่ยนชีวิต มาเป็นแบบ คนเมือง อยู่คอนโด เลยเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ของครอบครัวผม

ญาติผู้ใหญ่เหลืออยู่ไม่มาก ที่แข็งแรงก็แข็งแรงดี ที่ไม่แข็งแรง ก็ อยู่่ไกล ต้องฝากคนอื่นดูแล

condo

ชีวิตตอนอายุมากขึ้น เหมือนกลายเป็นเพื่อนที่คอยดูแลกัน ต่างคนต่างพบสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วก็จัดเวลาในการทำสิ่งนั้นให้ลงตัว

เปิดโลก

ปีหลังๆ ลองไปเทียวแบบแบกกระเป๋า ไปที่ๆไม่เคยไป ในต่างประเทศ ปีนี้ก็จัดไป หนึ่งทริปครับ ไปจีน

ถามว่าได้อะไรกับการไปเที่ยวแบบนี้่ .. ได้เยอะครับ .. ผมว่ามันกลับไปมีความตื่นเต้น แบบเด็กๆ มากขึ้นนะครับ ได้เห็นอะไรใหม่่ๆ ยิ่งบวก สิ่งที่เรารู้เข้าไป เราจะ “เข้าถึง” ถึงวัฒนธรรม และ เข้าใจที่ไปที่มา และ เหตุผลในแต่ละอย่าง มากขึ้น

lambo

ปีนี้ไป Shenzhen, Hong Kong, Ferrara, Hochimin city
ผมชอบ Shenzhen มาก เปิดโลกทรรศน์หลายๆ อย่าง ทั้ง วิธีคิด และ วัฒนธรรม เชื่อแล้วว่า ทำไม จีนถึงเป็นมหาอำนาจ คนไทยชอบบ่น คนจีน ที่มาทัวร์ ผมว่า เป็นเพราะเราเจอแต่ คนแก่รุ่นเก่าๆ แล้วมากกว่า รุ่นใหม่ นี่คนละเรื่องเลยครับ ทริปจีนทำ index รายวัน ไว้ ลอง click ดูกัน

ส่วน Italy ต้องดูใน facebook ครับ จัดเป็น Album ไว้ 

ถ้าแรงยังมี ตังส์ยังเหลือ ก็อยากจะเทียวแบบนี้ สักปีละครั้งครับ ..

cute

สุขภาพ

ปีนี้ผมว่าผมแข็งแรงที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยครับ

รุ้สีกอย่างนั้นจริงๆ .. เพราะออกกำลังกายมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว .. ปีนี้ ก็ครบสองปีแล้ว

วิ่งเป็นหลักเลยครับ จักรยานมีบ้าง แต่น้อย ต้นปีตั้งใจ เดือนนึง วิ่งให้ได้ 100 โล ปั่นให้ได้ 100 โล ทำได้ สามเดือน พอ backpack กลับ มาวินัยหายเลย..

พอสุขภาพดี ก็ไม่ค่อยป่วยครับ ที่เห็นได้ชัดคือ สายตา ที่ไม่ต้องใส่แว่นสายตายาว …เหมือนอดีต เกี่ยวกันอย่างไรไม่รู้ แต่ มันดีขึ้นจริงๆ

ว่าจะกลับมาฟื้นดูครับ .. ปีนี้ผมไหปวิ่ง Half marathon 21 km มาละ ตั้งเป้าไว้ ว่า ก่อนอายุ 50 ต้องวิ่ง full marathon ให้ได้..  ก็ดูกันต่อไปครับ ว่า จะทำได้มั๊ย

running

เรื่องที่ทำให้คนอื่น

คนอื่น หมายถึงคนที่ไม่ใช่คนในครอบตรัว และเป็นการทำโดยไม่ได้คิดเรื่องผลตอบแทน ..  เรียกได้ว่า ทำเพราะอยากทำงั้นเหอะ
ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมเข้าไป ช่วยทำอะไรในถิ่นที่อยู่ตัวเองครับ ที่แรก ก็อย่างที่หมู่บ้าน ที่สองก็ที่ คอนโด
ที่หมู่บ้านน้ันไปช่วยเขาผ่าน หน้าฝน โดยไม่ให้น้ำท่วมหมู่บ้านโดยการไปบริหารจัดการ เรื่องระบบระบายน้ำ งานนั้นนอกจากจะได้ตามตั้งใจแล้ว ยังเป็นการปลุกคนที่อยากออกมาทำอะไรให้หมู่บ้าน ให้ออกมาทำ ออกมาช่วยกัน ได้หลายคน
อีกที่คือ ที่ คอนโด งานนี้ สนุกครับ มาเป็นประธานกรรมการ คอนโดที่อยู่ ได้ความรู้ ได้ เพื่อน อีกเยอะเลย

2016 Winter trip


ช่วงหลายปีหลังมานี่ ผมจะจัดขี่รถทริปยาวๆ ปีละทริปครับ ..
จัดแต่ละครั้ง ก็ไปคันเดียวครับ ..นัดคันอื่นไม่ได้จริงๆ เพราะ มันเป็นการเที่ยวตามใจตัวเอง..

ปี 2016 นี่ Plan ไว้ 13 วัน หยุดตั้งแต่ ช่วง คริสมาสต์ ยาวข้ามปีไปเลย.. สูตรนี้ work เพราะ ออกเดินทางรถไม่ติด ได้ feeling การขี่รถเทียวที่แท้จริง..

เพราะวันปกติ เจอรถติดทุกวัน .. ถ้าออกช่วงเทศกาล คงไม่ต่างกันนัก.. เผลอๆ จะหนักกว่า เพราะ ระยะติดไกลกว่า

ทริปนี้ ตั้งใจไปเทีย่วถึง สิงค์โปร์ครับ .. เพราะอยากไป Universal studio เพื่อนที่ไปมา บอกว่า ต้องมาให้ได้ .. ครั้งนี้ เลย วิ่งลงใต้ แวะเรื่อยๆ กะว่า จะไปหาเพื่อนชาวต่างชาติ สองคน คือ Andy และ Chia ด้วย

สองคนนี้ คนแรก อยู่ มาเลย์ คนที่สอง อยู่สิงค์โปร์ .. ทั้งสองคนบอกว่า มีโอกาสแวะมาบ้านเขา ขอให้บอก .. ครั้งนี้ เลยว่าจะไปเยี่ยม

ทริปนี้ ก่อนออกเดินทาง ระบบไฟในรถผมแปลกๆ คือ วิ่งๆ แล้ว Batt หมด ต้อง เข็น ต้อง พ่วง .. เลยส่งให้ ศูนย์ตรวจเช็ค อย่างละเอียด ศูนย์ส่งกลับมา พร้อมบอกว่า ตรวจสอบ ระบบ Charge และ ฺBattery แล้ว ไม่เป็นไร .. ผมจึงเตรียมรถออกมาอย่างมั่นใจ

ที่ไหนได้ แค่วันที่สองของการเดินทาง ผมก้เจอ เรื่องยุ่งๆ กับรถผมซะแล้ว .. การตัดสินใจ เดินทางต่อในต่างแดน อีก 11 วัน พร้อมกับ รถที่มี ปัญหา เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจ ยากมาก

ถ้ายกเลิก ทริปนี้ ก็ พัง .. ที่พักที่จองไว้ ทั้งหมด คงเสียฟรี นั่นไม่สำคัญเท่าความตั้งใจที่อยากทำให้สำเร็จ ..

เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ผมจะผ่าน ปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร .. ได้บันทึกไว้ใน album ภาพ พร้อมเนื้อเรื่อง คำบรรยาย รูปแต่ละรูป ตลอด ทริปนี้ ไว้ครับ ..

ตั้งใจเก็บไว้ ดู ตอนที่อายุเยอะๆ และ ขี่รถไม่ไหวแล้ว.. แต่ เห็นว่า เอามาแบ่งปัน ให้ คนอื่นดูน่าจะดี ..

อ่านแล้ว แล้ว ก็ แชร์ เขีนน comment ไว้ หน่อย ครับ เผื่อ มีเรื่องได้คุยกัน

Day 1 กับการขี่ยาวๆ ฝ่าฝน ลงใต้
https://goo.gl/Xv4afE

Day 2 คีรีวง กับ เรื่อง Surprise บนขุนเขา
https://goo.gl/kYucbc

Day 3 น้ำใจจาก มิตร เก่า และ มิตรใหม่ พร้อมกับ การตัดสินใจสำคัญพุ่งทะยาน ข้ามสะพาน สู่ เกาะ ปีนัง
https://goo.gl/zqdx7R

Day 4  ตื่นมาที่ปีนัง..  มุ่งสู่ KL
https://goo.gl/ToVF1i

Day 5 เจอเพื่อนเก่า ที่ Singapore

https://goo.gl/EU7HgE

Day 6 กลับมาเป็นเด็ก ที่ Universal studio
https://goo.gl/w7NELN

Day 7  ตะเวณกิน 

https://goo.gl/rdWezu

Day 8  การเดินทางอันยาวนาน จาก Singapore มา Malaysia 

https://goo.gl/2xkqo5

Day 9  Countdown กลางหาด ที่ลังกาวี 
https://goo.gl/L3q4Bc

Day 10 กับความเสียว ในจุดที่สูงที่สุด ของลังกาวี และ สะพานเสาเดี่ยว ความเสียวที่ 1 ของโลก
https://goo.gl/fZLGdN

Day 11 หาดใหญ่  แวะตรัง ก่อน จอดที่สุราษฏร์  กับการฝ่าพายุฝน

https://goo.gl/FTxt1M

Day 12  อิ่มอร่อย ที่สุราษฏร์ แล้ว นอนแช่น้ำร้อนที่ ระนอง

https://goo.gl/2pdmqU

Day 13  วันสุดท้าย กับ เรื่อง surprise ก่อนถึงกรุงเทพฯ 200 km
https://goo.gl/uFGhEb

15585025_10154788747499326_6465092121465976352_o.jpg

ประวัติของผม…จากวันนั้นถึงวันนี้


​Working  on last day

=================

บางทีเรามาทำงานที่เดิมนานๆ ขนาดผม คงเคยถามตัวเองบ้างล่ะว่า ตื่นเช้ามาเดินทางมาที่เดิม หลายๆปี ไม่เบื่อเหรอ….
ผมอยู่ที่นี่มา 25 ปี เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว…หลังทำงานอย่างหนักมานาน และแล้วผมก็มีวันนี้ครับ… วันที่มาทำงานเป็นวันสุดท้าย…
ถือโอกาสเล่าประวัติการทำงานผมที่นี่เลยละกัน…..

#ปี2526 ตอนมัธยม ผมนั่งรถเมล์ ผ่าน ตึก “ปูนซิเมนต์ไทย” ทุกวัน… นึกทุกครั้งว่า ถ้าเรียนจบ ได้ทำงานที่นี่คงจะดี
สมัยนั้น ปูนซิเมนต์ไทย เป็น sponsor รายการ 180 IQ รายการตอบคำถามของเด็กนักเรียน…  ผมเองก็ มักเป็นตัวแทน โรงเรียน แข่งพวกนี้ประจำ จำได้ว่า สมัยเด็ก เหมือนความรู้เกินตัว…
…ไม่เหมือนตอนโต … ที่มีใบหน้าเกินวัย….
#ปี2528 สอบเทียบได้ แบบหวาดเสียวจริงๆ เพราะ ไม่เคยอ่านของ ม.6 เลย และ ขาดสอบ เลยตัดสินใจไม่ entrance ให้เปลืองตังส์

หิ้ว Transcript ย้ายมาเรียน ที่ ศ.จ. หนึ่งปี ได้เพื่อน ได้ประสบการณ์ โดนครูตี เป็นครั้งแรก จนขาแตก เกือบมีเรื่องมีราว …(สาเหตุไม่ได้แต่งชุด ร.ด. ไปในวันกืจกรรม เพราะ ซักไม่ทัน -เพิ่งใส่ฝึกวันศุกร์)
#ปี2529  จบมาเลือก วิศวะรวด 4 จาก6 อันดับ … ผลออกมา สอบติดที่เกษตร มหาลัยที่ใกล้บ้านที่สุด แต่ สารภาพเลย ไม่เคยมา… วันรู้ผล มาครั้งแรก อยากได้ ฟิลลิ่ง ตอนเปิดใบประกาศ..^^
ตอน Ent เลือกเรียน ตามความฝัน โดยมีพี่ตุ๋ย Anont Wonggasem เป็น Idol พี่ตุ๋ย เรียนเก่งตั้งแต่อยู่สวนกุหลาบ พอมาเรียนวิศวะจุฬา พ่อบอกเลยต้องให้ได้แบบพี่ตุ๋ย…
พ่อบอกพ่อเรียนน้อยเลยลำบาก เอ็งเรียนเก่งๆ ให้ได้แบบพี่ตุ๋ย โตขึ้นจะได้สบาย ได้มีโอกาสเป็นเจ้าคนนายคน… เชื่อพ่อ บวกกับไม่ชอบท่อง ชีวะ เลยไม่เรียนหมอ ตามที่แม่(เลี้ยง) อยากให้เป็น และสายตาสั้น 650 เลยหมดฝันเรื่องเป็นนักบิน … วิศวะนี่แหล่ะ ตอบโจทย์ เพราะชอบ Physic Match English เป็นทุน
ตอนผลเอ็นฯ ออกผมสอบที่ วิศวชลประทานด้วย ผลยังไม่ออก แต่ได้ที่เกษตร เลยไม่ดูอีกที่ละ กลัวโลเล … ผมยังไม่รู้ผลจนทุกวันนี้เลยว่าผมติดที่ชลประทานหรือไม่…?
#ปี2531 ตอนอยู่ ปี 3 ผมเลือกฝึกงานที่ เครือซิเมนต์ไทย ได้ไปฝึกงาน กับ บ.สยามคราฟ  ใช้ชีวิตที่ บ้านโป่งราชบุรีอยู่สองเดือน มีเพิ่อนหลายคน คนที่ยังป้วนเปี้นอยู่ในนี้ คือ โจอี้ ไห่ Srankorn Vitayalertpanya
ได้สัมผัสกับ เครือฯนิดนึงละ
ก่อนจบมี HR มารับสมัครถึงคณะ ผมสมัครไป มีนัดสัมภาษณ์ จำได้ว่าพี่ท่านนึงคือ คุณอดุล อุดล คุณพ่อของรุ่นพี่ที่คณะ … สัมภาษณ์อะไรบ้างผมยังจำได้จนทุกวันนี้… ไม่ได้ถามตรงกับที่เตรียมมาเลย
ผลออกมาผมได้งานที่เครือฯ ..
#ปี2533 เข้ามาทำงานเครือซิเมนต์ไทย … งงๆ ให้ไปรายงานตัวที่ CPAC ตอนนั้น CPAC เป็น บริษัทที่มีสามกิจการ หลังคาเป็นหนึ่งในสามกิจการ ผมไปเริ่มที่นั่น เป็นวิศวกรผลิต

เข้าไปวันแรกไม่มีที่นั่ง พื้นที่แน่นมาก office เล็กนิดเดียว. อาคารสมัยเก่า พื้นฐานโรงงาน ทุกอย่างแคบเล็ก เจ้านายคนแรกคือ พี่ธาดา Tada Tearprasert ตอนนั้นพี่เขาเป็น ส่วนผลิต บอกผมว่าเดี๋ยวจัดโต๊ะพิเศษให้นั่ง ห้องใหญ่ๆ เลย …เราก็ดีใจ เพราะใหญ่จริงๆ ไปนั่งในโรงงาน
ช่วงนั้นขายดี…ทำงานกัน 7วัน ผมน่ะทำห้า แต่ในโรงงานเจ็ด ต้องจัดกะ าลับกันหยุด เข้าไปตอนนั้นพนักงานเขารียกผมว่า “นายช่าง” แต่ถึงเรียกแบบนี้ ช่วงเข้าไปก็โดน “ลองของ” บ่อยๆ …. ไม่มีความรู้ไปสอนอะไรพี่ๆ เขาหรอกจบใหม่ๆ ไปเรียนรู้จากเขาซะมากกว่า… แต่สิ่งที่ต้องทำบ่อยมากคือ การตัดสินใจ ซึ่ง ผมจำได้ว่า มักจะใช้ประสบการณ์ในการตัดสินใจที่มารู้เอาภายหลังว่า ไม่ใช่วิธีที่ถูกเลย…!
ผมทำผลิตได้ปีกว่า พี่วิบูลย์ คงพร้อมสุข ผู้จัดการแผนกตอนนั้น มาชวนผมว่าไปอยู่โรงงานต่างจังหวัดกันมั๊ย… ผมตอบ ok ทันที เพราะ งานที่ทำอยู่ทุกวัน มีเรื่องที่ต้องปรับภาพแวดล้อมมาก … ซึ่ง เงินเดือน 8,000 บาทที่ได้รับ บางทีก็รู้สึกไม่คุ้ม เพราะผมแพ้อากาศง่าย
ที่ทำงานต่างจังหวัดที่ว่านั้นไกลมากครับ อยู่พุทธมณฑลสาย 7 นี่เอง…^^
ย้ายมานี่เปลี่ยนจากผลิต มาดูซ่อมละ ตอนนั้น สนิทกับพี่โบ๋ ประยุทธ กลึงทอง (แกชอบล้อตีวเองว่า ลึงค์ทอง) พี่โบ๋ จิตใจงาม สอนอะไรผมเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำความดี คิดดี ทำดี พี่โบ๋ ทำให้คนอื่นมาก ชีวิตบั้นปลายสบายและมีความสุข ผมเห็นกะตา ตอนนี้แกออกไปนานแล้ว ผมเจอล่าสุดยีงหนุ่ม สนุกเหมือนยี่สิบปีก่อน
#ปี2535 ผมเริ่มมาทำงานกับโรงงานเปิดใหม่ ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย เครื่องจักรแบบใหม่ ทีมงานใหม่ สมัยนั้นทำงานกับฝรั่ง ที่มาจาก อังกฤษ และ ออสเตรเลีย ปัญหาหน้างาน ประสบการณ์ที่ไม่เท่ากัน บวกกับ “ความมั่นใจในตัวเองเกืนไป”  ของคนไทย ทำให้ เห็นควาทงมขัดแย้งในการทำงานระหว่างเชื้อชาติ ผมว่า ความสามารถในการใช้ภาษาของเรามีผลมาก…. อยากฝากน้องๆให้ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษให้เยอะๆ
ทำงานโดเขึ้น โดดลง ตอนติดตั้งเครื่องจักร ทำให้ถึงกับเข้าโรงพยาบาล เพราะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท!
เรื่องที่ shock ผมมากกว่านั้น คือพี่วิบูลย์ เจ้านายที่ชวนผมไปทำงานที่นครปฐม มาเยี่ยมผมหลังผมผ่าตัดหละง (ตอนนั้นอายุ 25 เอง) พร้อมกับบอกว่า..”ผมลาออกแล้วนะ!”
สมัยนั้นผมว่าธุรกิจขยายตัว กำลังพลเตรียมกันไม่ค่อยทัน โรงงานขึ้นกันแทบจะสองปีหนึ่งโรง จนผมรู้สึกว่า “คนขาด” เพราะรู้สึกว่าต้องย้ายไปช่วยแผรกโน้น แผนกนี้ จนเรียกได้ว่าย้าย ทุกสองปี ได้ทำงานทั้งงานผลิต งานซ่อมบำรุง และ งานโครงการ…
พี่อีกท่านที่อดกล่าวถึงไม่ได้ คือ พี่ธาดา Tada Tearprasert ตอนนั้นพี่ ธาดา เป็น MD ที่ต้องดูแล ส่วนวิศวกรรมอีกตำแหน่งหนึ่ง
มีวันนึงพี่เขาเข้ามาที่ office ผมแล้วตั้งคำถามว่า ถ้าโรงงานขยายขึ่นปีละโรงแบบนี้ ผมจะจัดระบบการบำรุงรักษาอย่างไร …คอนนั้นผมเป็นผู่จัดการแผนกบำรุงรักษา..
คำตอบที่ผมตอบคือเพิ่มคน…ให้รับกะบงาน แต่พี่เขาบอกว่า อย่างนี้ถ้าบริษัทใหญ่ไป ก็คงไร้ประโยชน์ เพราะไม่ได้ใช้ความใหญ่ให้เป็นพลังเลย … นั้นคือที่มาทำให้ผมเริ่มระบบการซ่อมเป็น Decentralize แล้ว มาเป็น TPM (Total preventive maintenance) ในที่สุด
วันเดียวกันนั้นเองที่พี่ธาดาสอนให้เห็นความแตกต่างระหว่าง Winner กับ Loser ให้ฟังด้วย …ผมใช้มากับชีวิตจนถึงทุกวันนี้
ช่วงนั้นได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ … ต้องบอกว่า การแอกผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วงนั้น ความรู้แปรผกผันกับความเครียด
เรื่องไหนรู้เยอะ ก็เครียดน้อย…
สินค้าที่ได้เป็นคนทำกับทีมคือ กระเบื้อง Neustile กระเบื้องหลังคาที่ตอนทำ.. เหนื่อยมาก
ทำตัวนี้อยู่ ก็ต้องย้ายไปถิ่นเก่า โรงงานนครปฐม เพราะทางนั้นต้องการคนช่วย มาเที่ยวนี้ได้มาร่วมงานกับพี่หลายๆคน รวมทั้งพี่ตี๋ Boonsak Huttpor
จนกระทั่งวันนึงพี่ทอง ธนศักดิ์ สาคริกานนท์ มาหาและถามว่า สนใจไปทำงานที่กัมพูชากันมั๊ย…. ภาพ กัมพูชาในหนัง Killing field ลอยมา… แล้วผมก็ตอบว่า…
“ไปครับ”
#ปี2001 ได้มาทำงานต่างประเทศ ฟังดูหรูดี แต่ เป็นประสบการณ์การทำงานที่ดีเยียมสำหรับผมเลย เพราะ มาที่ กัมพูชา ภาพต่างๆ ที่เคยจินตนาการ เปลี่ยนไปหมดเมื่อมาอยู่จริง ผู้คนที่นี่น่ารัก และ ผมก็รักพวกเขา เพื่อนๆ คนไทย ก็ ดี้ดีครับ บรรยาการ มิตรภาพ เหมือนสมัยเรียนหนังสือกลับมาก็ตอนนี้ . ผมซาบซึ้งคำว่าเพื่อนมากกว่าครั้งใดก็ที่นี่ ..
ระหว่างทำงานได้อยู่ในเหตุการณ์การเกิดจราจล เผาสถานฑูตด้วย เป็นจังหวะที่ไม่ดี แต่ ก็เป็นประสบการณ์ที่สอนให้ระมัดระวังและเตรียมพร้้อมต่อสภานการณ์ฉุกเฉินของผมเอง
#ปี2005 กลับมาทำงานที่เมืองไทย และ ได้เวียนไปดูแลงานที่กัมพูชาด้วย อยู่แปดเดือน เป็นประสบการณ์ที่หนักหน่วง เพราะ พ่อเจ็บหนักก็ตอนนั้น .. ตอนนั้นสอนให้รู้ว่า ปัญหาหนักขนาดไหน ถ้าเราผ่านมันไปได้ เราจะแข็งแกร่ง
ปัจจุบันมีความสุขมากกับการทำงาน และ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ตลอด ปีนี้ ทำงานมาครบ 25 ปีแล้วครับ เลยอยากรำลึกความหลังตั้งแต่ทำงานมา
วันนี้ทำงานถึงวันศุกร์ กะว่าจะ Vacation สักสัปดาห์ เลยมา โพสไว้ครับ สำหรับการทำงานวันสุดท้ายของ Brake นี้
ขอบคุณที่ติดตามครับผม

‪#‎หันหน้าพับแฮนด์เว้นช่อง‬


อรุณสวัสดิ์ เช้าวันเสาร์ครับ
ช่วงที่ผ่านมี ข่าวเรื่อง BB โดนยิง และ เรื่องกฏหมาย ห้ามรถขึ้นสะพาน ลงอุโมงค์ ที่ทั้งสองเรื่อง ยังเป็นกระแสอยู่ครับ

สำหรับกลุ่มนี้ ตามวัตถุประสงค์กลุ่ม ก็ รับทราบข่าวสารกันครับ ส่วนใครจะทำอะไร ถือเป็นเรื่องส่วนตัวครับ เรื่องไหน admin ดูแล้วยังไม่ชัด ว่าจะเป็นทิศทางใด ก็ ต้องขอออกตัว ไม่ออกความเห็น ไว้ก่อน

สำหรับสัปดาห์นี้ มาเน้นเรื่องการจอดกันหน่อยครับ เพราะช่วงจอด เป็นช่วงโชว์รถ ที่คนเห็นนานที่สุด

ตอนขี่น่ะเห็นปุ๊บเดียว แต่ก็ทำให้รู้ว่าเร็ว…
แต่ตอนจอด จอดดีๆ ก็ทำให้รู้ว่าเร็ว แถมนิสัยดีได้เหมือนกัน

ลองมาดูกันครับ ว่าต้องจอดยังไง

1. เลือกที่จอดที่เหมาะ “ห้าม” จอดในที่ห้าม เช่น เส้นแทยง ขาวแดง ที่จอดคนพิการ(ยกเว้นคุณจะพิการ)

2. เลือกที่จอดที่ปลอดภัย มิฉะนั้น อาจมีบักเสี่ยว มาคร่อมรถคุณเล่น กดนู่นกดนี่ (มันคงนึกว่าเดืนงานมอเตอร์โชว์) ..เป็นผมเจอ ผมเบิ๊ดกระโหลกก่อน ฐานทะลึ่งไม่ขอก่อน

3. จอดหันหน้าออก อันนี้เป็นเครื่องแสดงความพร้อม ที่จะไป ไม่มีเงอะงะถอยรถ ผมทำแบบนี้จนเริ่มรู้สึกว่าถ้าผมจอดเอาหน้าทิ่ม
ผมจะแลดูเป็นคนมักง่าย

4. ถอดและ lock อุปกรณ์ ของคุณไว้ให้ดี ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนปลอดภัย แม้แต่จะจอดในกลุ่มของคุณเองก็ตาม

5. เว้นช่องว่างระหว่างคันให้พอ โดยดูรถด้านซ้าย ขวา และ กะระยะให้ไม่เกี่ยวโดนกันเมื่อรถตั้งตรง โดยเฉพาะ รถมีกระเป๋าข้าง

6. ถ้าจอดในที่ลาดเอียง ก็เข้าเกียร์ไว้ด้วย กันไหล

7. พับแฮนด์ ไปทางด้านซ้าย ถึงคุณจะไม่ lock คอก็ตาม เพราะตำแหน่งนั้น รถจะอยู่ในตำแหน่งเสถียรที่สุด

8. ใครใส่ lock Disc อย่าเพลินจนลืมเอาออก ออกตัวโดยไม่ปลด lock disc เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครกล้าแชร์

อ่านให้เข้าใจ ก็จะได้ไม่ต้องจำครับ
ทำได้ดังนี้ ก็ หล่อแบบนิสัยดีๆ แล้วครับ

Slogan
‪#‎หันหน้าพับแฮนด์เว้นช่อง‬

มีความสุขกับวันหยุดนะครับ

ป๋อง Pongroofman

สนใจเข้าร่วมกลุ่ม  กดเลยครับ  ขี่บิ๊กไบค์แบบนิสัยดี

#‎รายงานกิจกรรมกลุ่มเดือนJan15‬


เรารับสมาชิกรุ่น 1 มา 1,000 คนตอนต้นเดือน Jan และให้แต่ละท่าน post แนะนำตัวกัน ส่วนใหญ่ออกมาแนะนำตัวกันแล้ว… แต่จะทำให้เพื่อน รู้จัก และจำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความถี่ของการออกมา share เรื่องราวประสบการณ์ครับ…

เดือนที่แล้ว มีที่ออกจากกลุ่ม และ พี่ป๋องลบออกไป รวม 11 คน คนที่โดนลบเพราะ มาโพสข้อความโฆษณาขายของ หรือ เชิญชวน ส่อเจตนาเชิงพานิช

‪#‎ตอนนี้เรามีสมาชิก1400คน‬

เดือนนี้สมาชิกต้นเดือน Feb รับเข้าเพิ่ม 400 คน ถือว่า กลุ่มเติบโต 40% คนเข้ามาเยอะ เกิดจากการที่พวกเรา share เรื่องดีๆ เข้าไปหน้า wall หรือ กลุ่ม ของตัวเอง… เดือนนี้ อยากให้เน้นทำเรื่องนี้ด้วยครับ

พี่ป๋องเข้ามาดูแลกลุ่มนี้ทุกวันตลอดหนึ่งเดือน เน้นย้ำเรื่องไปสามเรื่อง(สัปดาห์ละเริ่อง)

‪#‎ไม่จอดในที่ห้ามจอด‬
‪#‎แต่งตัวให้ดีก่อนแต่งรถให้สวย‬
‪#‎ชะลอเตรียมจอดเมื่อเห็นทางม้าลาย‬

ซึ่งหลายคนที่ช่วยเน้นโดยการพิมพ์ เมื่อจบประโยค comment คงจะจำได้ และ คงทราบดีว่าสิ่งนี้จะช่วยเตือนสติเราเวลาขี่รถในแต่ละวัน…

เดือนที่แล้ว หลายคนทำได้ดี…บางคน(น้อย) ยังไม่ทำ…
ทำเถอะครับ ทำให้ติด …พี่มองแล้วว่าง่าย และดี

เดือน Feb พี่ป๋องอยากขอแรงสมาชิกบ้างครับ…ง่ายๆ เลยตามนี้

1.อยากให้ออกมาอ่านมาดูบ้างสองสามวันมาดู ก็ยังดี วันนึงมีไม่กี่เรื่องหรอก พี่ป๋องเป็น admin อ่านทุกวัน วันละสองรอบ ทราบดี

2.ออกมา like บ้าง. อ่านแล้ว like เลยให้ติด

3.ออกมา comment บ้าง คนเขียน จะมีกำลังใจมากถ้า มีคนมา comment ช่วง comment ถือโอกาส ขาน slogan อันนี้จะได้กับตัวเอง เป็นการเตือนสติ …

4.ออกมากด share บ้าง… สิ่งนี้แหล่ะที่พี่ป๋องอยากให้ชาวนิสัยดีช่วย เพราะ เป็นการนำสิ่งที่เราอ่านแล้วดี ได้ประโยชน์ ไปบอกต่อ อีกทั้งคนเขียนจะภูมิใจขึ้น เมื่อสิ่งที่เค้าเขียนได้รับการบอกต่อ

5.ออกมา post เล่าประสบการณ์ ตัวเองบ้าง เราอ่าน แล้ว เราก็ให้คืนกัน เขียนไม่เก่ง ขอเดือนละครั้ง ก็ยังดี (เดือนละครั้งนี่ เราจะได้อ่านประสบการณ์ดีๆ เดือนละ พันเริ่อง หรือ เฉลี่ย สามเรื่องต่อวันเลยนะครับ)

เขียน 5 ข้อ จริงๆ ทำจริงใช้เวลาไม่นาน อยากให้ช่วยกันคนละแรงครับ…อ่านแล้วเข้าใจ ยินดีช่วย ก็ช่วย like comment share และ ปิดประโยคด้วย slogan

‪#‎นิสัยดีต้องไม่วิ่งสวนเลน‬ กันนะครับ

ป๋อง pongroofman
5 Feb 2015

‪#‎ชะลอเตรียมหยุดเมื่อเห็นทางม้าลาย‬


Slogan นี้ช่วยผมเมื่อครู่
หลังโพสเมื่อเช้า ผมคอยดูสัญลักษณ์ทางข้าม แลัว ลดความเร็ว

ตอนเช้าที่ออกมาทำงาน ระหว่างวิ่งโดยใช้ช่องว่างระหว่างรถ ไปทำงาน ด้านหน้าผมมี รถเมล์ อยู่ซ้าย และ รถยนต์ทางขวา

ระหว่างที่ผมเคลื่อนตัว ผ่านรถเมล์ ผมเห็นเส้นทางม้าลายข้างหน้าซึ่งปกติ เวลาผ่านรถเมล์ หรือรถใหญ่ผมจะผ่านให้เร็วที่สุด แต่นึกได้ว่าเราย้ำ

#ชะลอเตรียมหยุดเมื่อเห็นทางม้าลาย ไปเมื่อเช้า

ผมเลยชะลอ(ทั้งที่ปกติจะเร่งแซงให้พ้น) ….

ทันใดนั้นเอง รถเมล์ด้านซ้ายข้างรถผมก็เบรคกระทันหัน (รถเมล์ไม่ชะลอก่อน) เพราะมีคนข้ามถนนในระยะกระชั้นชิด …

ซึ่งเหตุการณ์นี้ผมมองเห็นภาพตัวเองชนคนข้ามดังกล่าวกระเด็นล้มไปทั้งคู่แล้ว …แต่การที่ผมชะลอ (แค่เพียงเห็นเส้น ไม่ต้องเห็นคน) ก็ทำให้ผมสามารถหยุดรถได้อย่างนิ่มนวล…

คนที่ข้ามเป็นคนงานก่อสร้าง รถไฟฟ้า เส้น กรุงเทพฯ-นนท์ ซึ่งดูจากลักษณะแล้ว น่าจะเป็นคนต่างชาติ(เพื่นบ้านเราแถวนี้) ….แว๊บแรก อยากลงไป bird กระโหลกเค้าเหมือนกันว่าทำไมข้ามถนนแบบนี้อันตรายมาก …แต่คิดอีกทีว่า เค้าข้ามทางม้าลายถูกแล้ว… รถเองต่างหากต้องชะลอหยุด ตามที่เวลาสอบใบขับขี่เค้าก็สอนกันมา….

ผมนึกขอบคุณตัวเอง ที่รฤก (ระลึก) ถึงเรื่องนี้แล้วเขียนให้พี่น้องนิสัยดี ได้ย้ำกัน…ทำให้วันนี้ ผมรอดจากอุบัติเหตุมาได้…. จนอดไม่ได้ที่ต้องเอามาเล่าให้ฟัง

ช่วยกันย้ำ ด้วยการทำ hashtag (เขียนขึ้นต้นด้วย #) ว่า

‪#‎ชะลอหยุดเมื่อเห็นทางม้าลาย‬ กันนะครับ ใครจะรู้ ว่าสิ่งนี้อาจช่วยชีวิตคุณก็ได้สักวันหนึ่ง

2014 in review ปีนี้เขียนเรื่องต่างๆ ไปพอควร


The WordPress.com stats helper monkeys prepared a 2014 annual report for this blog.

คัดมาให้ดู:

เค้าบอกว่า Opera house ที่ Sydney  สามารถจุคนได้ 2,700 คน ปีนี้ Blog ผมมีคนเข้ามาดู 47,000 ครั้ง ถ้าเปรียบว่า ถ้าเราไปจัด Concert ที่ Opera house นั่นหมายถึง เราจะขายบัตรได้ถึง 17 รอบ ..
อุต๊ะ ถ้าอย่างนี้ ก็รวยเละซิเนี่ย…

อยากดูรายละเอียด ก็ click link นี้ครับ 

Here’s an excerpt:

The concert hall at the Sydney Opera House holds 2,700 people. This blog was viewed about 47,000 times in 2014. If it were a concert at Sydney Opera House, it would take about 17 sold-out performances for that many people to see it.

Click here to see the complete report.

2015 Winter trip


การขึี่รถขึ้นเหนือของผมปีนี้มาแบบ Solo ยาว

Day 1 คิดถึงวิทยา ขี่ตียาว กรุงเทพฯ-อยุธยา-สิงห์บุรี-อุทัยธานี-นครสวรรค์-ลำปาง-ลำพูน รวดเดียว

https://goo.gl/HyJwvn

Day 2 ท่ามกลางความหนาว แก่งก้อ ดอยอินทนนท์ แม่ฮ่องสอน

https://goo.gl/TKXdaX

Day 3 ดอยอูคอ ภูโคลน หมู่บ้านรักไทย

https://goo.gl/413x3k

Day 4 ปางอุ๋ง

https://goo.gl/6qTqhD

Day 5 แม่ฮ่องสอน ซูจองเป้ ปาย เชียงใหม่ แจ้ซ้อน

https://goo.gl/5h7nff

Day 6 นั่งรถม้าที่ลำปาง แล้วตีไปถึงน่าน

https://goo.gl/qF732T

Day 7 วิ่งขึ้นพระธาตุเขาน้อย

https://goo.gl/1aqtzL

Day 8 บ่อเกลือ ดอยภูคา

https://goo.gl/FgHrpz

Day 9 ป่าปัวภูคา ดอยเสมอดาว ขุนสถาน

https://goo.gl/Dg6GZb

Day 10 แพร่ พิษณุโลก

https://goo.gl/6a3F8L

Day 11 กลับกรุงเทพฯ

ไม่ซิ่งก็ซี้


เรื่องดีๆจากกลุ่ม ขี่บิ๊กไบค์แบบนิสัยดี
โดย https://www.facebook.com/banana.aoh

++ก่อนอื่น..ขอแนะนำตัวสักเล็กน้อยน่ะครับสมาชิกในกลุ่ม++
‪#‎เรียกชื่อง่ายๆ‬ โอ๋ ครับผม คนโคราชครับ อายุย่าง 35 ปี

พาหนะที่มี..ก็แค่ CBR300R ครับผม….
มีโอกาสนานๆทีก็จะได้ไปร่วมทริปกับรุ่นใหญๆบ้าง…แบบมีลูกติดน่ะครับ

ทริปล่าสุดที่ไปมานี้..โดยปกติคนโคราชถ้าจะไปขับรถเล่นก็จะไปแบบใกล้ๆง่ายๆ
และได้บรรยากาศแบบธรรมชาติสุดๆก็คงเป็น วังน้ำเขียวและเขาใหญ่ครับผม
วันนั้นตรงกับวันหยุด..เลยอยากออกไปขับรถผ่อนครายสมองเราบ้างคงดี

แต่การที่เราจะหาโอกาสที่พอเหมาะหรือตรงกับวันหยุดของใครหลายๆคน
คงเป็นไปได้ยากหนัก…”บางคนมีเวลาแต่กลับไม่มีเพื่อน บางคนมีเพื่อน…
…แต่ก็กลับไม่ค่อยมีเวลาเหมือนใครๆ ” วันนั้นผมเลยขับไปคนเดียว…^^

คิดแบบง่ายๆคงจะเป็นวังน้ำเขียวล่ะครับ…ใกล้และได้บรรยากาศที่ดีเลย
ขับไปถึงกะว่าจะไปชม อุทยานแห่งชาติทับลาน ผาเก็บตะวัน ที่คิดไว้
ทางผ่านมีวัดนึงกำลังต่อเติมและก่อสร้างกุฏิและโบส์ถหลังใหม่
มองเห็นไกลๆ ..ถึงกับอึ่งกับ รูปปั้นใหญ่ของ “หลวงพ่อคูณ ” ครับ
จึงคิดว่าไหนๆก็เข้ามาแล้ว..ขอแวะไปทำบุญเพื่อความสบายใจเราดีกว่า
บรรยากาศโดยรวม..กำลังเร่งสร้างหลายๆจุดเลยจะขอร่วมทำบุญด้วยคน
และได้บูชาหลวงพ่อคูณมา 2 องค์..รู้สึกมีแรงขับและสบายใจขึ้นเลย
วัดนี้ถ้าใครๆผ่านจะเห็นรูปปั้นหลวงพ่อชัดเจนครับ ” วัดบ้านไร่ 2 ”
อยู่ด้านหน้าทางเข้าไป “ผาเก็บตะวัน” วังน้ำเขียว..เชิญร่วมทำบุญครับ

พอชมทัศนีย์ภาพของ “ผาเก็บตะวัน” เรียบร้อย..เป้าหมายต่อไปเขาแผงม้า
เพื่อไปพักทานข้าวเก็บแรง..พอได้อัพเฟสสักหน่อย^^ สิ่งที่ไม่น่าคิดเล็กๆ
มันก็เกิดขึ้นมา…ผมอึ่งที่เพื่อนอุตสาห์ขับรถมาหาผมเพราะเห็นมาคนเดียว
ไม่คิดว่าเค้าจะขับมาหาแค่คนเดียวตั้งไกลเพื่อแวะมาทานข้าวและจิปกาแฟ
นี้ล่ะครับ…ที่เค้าเรียกว่า ” มิตรไมตรีที่ดี ” เค้า R1 เราแค่ 300^^ ซึ้งจริงๆ

พอพักเก็บแรงได้สักหน่อย…คำว่าเพื่อนใหม่ “ไม่ซิ่งก็ซี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง”
ได้รู้จักกับกลุ่มเล็กๆที่ขับมาจากระยองเพียงแค่ 3 คัน จึงได้ผูกมิตรใหม่
ชวนกันไปจิบกาแฟให้มีแรงเพิ่มสักนิดที่ A Cup of Love สักพักจึงแยกกัน
แต่สิ่งที่ผมได้ในวันนั้น คือคำว่า ” เพื่อน..ไม่มีวันตาย!! ” อยู่ไหนก็เพื่อนกัน

เป็นทริปที่สนุกและผ่อนคราย พร้อมทั้งได้มิตรใหม่เพิ่มจนไปถึง ” เขาใหญ่ ”
วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกว่าเราไม่เหงาเลย ไม่เดียวดาย ไม่อ่อนแรงและทึ่สำคัญ
ยังได้ทั้งมิตรและยังได้ทั้งบุญอีกด้วย…รวมด้วยระยะทาง 370 กม.^^

ทริปวันหยุด…แต่นิยามคำว่า ” เพื่อน ” ไม่เคยหยุดเลยจริงๆ
ไม่ซิ่งก็ซี้ กี่ cc. เราก็เพื่อนกันครับผม…. ^^

Cr.Lunla_Man : โอ๋ โคราช^^