หนังกลางแปลง
พี่ป๋องย้ายไป อยู่ต่างจังหวัดตอน ป.4 เลยมีโอกาสได้เห็น “โรงหนัง” ในหลายรูปแบบ
ก่อนย้ายไป กิจวัตร ประจำวันหยุด ของ พ่อ กับ ลูก คือการไป ดูหนัง ตามโรงหนัง
พี่ไม่เคยรู้สึกว่า พ่อเป็นคนชอบดูหนังนะ แต่ พ่อไปดูหนังทุกสัปดาห์ …
ขีวิตประจำวันหยุดของคนเป็นพ่อ ก็คงต้องพาลูกไป เที่ยว สมัยนั้น การพาลูกไปเรียนอะไรเพิ่ม น่าจะกระทบค่าใช้จ่ายของพ่อ มาก พ่อเลยเลือก ดูหนัง เพราะ พ่อ ตีตั๋ว 10 บาทแถวหน้าสองที่ ก็จะได้ นั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ สองชั่วโมง
โรงหนัง แถบถนน เพชรบุรี ไปยันประตูน้ำ ลามไปจนถึงสยามแสวคร์ เลยเป็นที่คุ้นเคย ของเรา สองพ่อลูก
พอมาอยู่ที่ โพนพิสัย .. อำเภอเล็กๆ แต่ ก็มี โรงหนังประจำอำเภอ เหมือนกัน ..จำชื่อโรงไม่ได้ละ เดี๋ยว รอเพื่อนมาบอก อีกที
หนังโรง (แถวนั้นเรียกแบบนั้น) จะมีสองรอบ คือ รอบ บ่ายสอง กับ รอบหนึ่งทุ่ม
โรงหนังใช้วิธีพากย์เอาบ้าง หรือ ไม่ก็มีเสียงมากับ หนังเลย ที่รุ้เพราะ มีชื่อ นักพากษ์ประจำ คือ โกจนาช ให้เสียงภาษาไทย ..
โรงหนังนี้ มีสองชั้น ชั้นล่าง สิบบาท ชั้นบน ยี่สิบ ผมเคยดูชั้นบนอยู่ครั้งนึง ไฮโซมาก ทั้งโรงไม่มี แอร์ แต่ ชั้นบน ดูปุ๊บ รู้เลยว่า รวย
ผมชอบดูหนัง แต่ไม่มีตังส์ ดังนั้น สิบบาทที่ต้องซื้อตั๋ว ก็ยังไม่มี เวลาอยากดูต้องไปยืนรอ จนหนังจะฉาย ซึ่งทางโรงหนัง ก็จะเปิดเพลงมาร์ช แทน ทะ แด แดน ทะ แด แดน แด่ แด แด้ แด่… เป็นที่รู้กันว่าได้เวลาหนังจะฉาย ละ คนที่ รออยู่นอกโรงก็ทยอยเข้าโรง เพราะ ในโรง ไมมีแอร์ รอข้างนอก ได้ Feel กว่า เข้าไป ก็เลือก นั่งได้เลย ไม่ได้ ล๊อกที่นั่ง เหมือนในกรุงเทพฯ เขา
หนังเรื่องไหนดังๆ เก้าอี้ไม่พอ ก็เสริม เก้าอื้ตรงทางเดิน กันจน ไม่มีที่เดิน …
พอหนังจะฉาย ผมจะไปหาคนเก็บตั๋ว จะเป็นผู้หญิง เจ้าของโรงหนัง เก็บเอง แล้วยื่นเงินให้ห้าบาท … พร้อมกับ มองหน้าเจ้าของ
นั่นเป็นหลักสูตร การเจรจาต่อรอง 101 บทเรียนที่สอง ที่ใช้กับ คนนอกบ้านของผมเลยครับ
เจ้าของโรง หรือ คนเก็บตั๋ว จะมองหน้า แล้ วส่ายหน้า ..แปลว่า ไม่ได้ ให้ผม ผมต้องรีบชักมือกลับทันที แล้ว ถอยหลัง ไปสามเก้า ไปตั้งหลักใหม่
ช่วงแรก หนังจะมี โฆษณา มีตัวอย่าง ..หว่างนั้น ผมจะดูว่า คนซาแล้ว ไม่มีคนเข้าไปดูอีกแล้ว ซึ่งหมายถึงว่า รายได้ของ รอบนี้ น่าจะไม่มีเพิ่มแล้ว ก็จะค่อยเดินไป ยืนเหรียญ ห้าบาทเหรียญเดิม เข้าไป
ส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของโรง จะปฏิเสธ ข้อเสนอ รอบ ที่สองนี้ทั้งนั้น …
รอบที่สามเป็นรอบตัดสิน เพราะ ถ้าเจ้าของปฏิเสธ แสดงว่าโอกาสดูหนังรอบนั้น หมดไป ต้องไปลุ้นวันใหม่อีกที …
มานั่งนึกดู ชีวิตเราก็ดิ้นรน มาพอควรเลยนะ สำหรับ ความบันเทิง อย่างการดูหนังเนี่ย …
หนังอีกอย่างที่ได้ดูบ่อยๆ เพราะ บ้านผมอยู่ติดกับวัดจุมพล ซึ่งวัดจะมีลานกว้างๆ ไม่ได้ทำอะไร เหมาะกับ การจัดงานวัด งานมหรสพ หรือ หนังกลางแปลงเป็นอย่างยิ่ง …
สมัยนั้นหนังกลางแปลง เป็น model ที่ แก้pain เรื่องที่ ไม่มีโรงหนัง โดย ทีมงานจะมีเครื่องฉาย จอ และ ผ้าที่ล้อมเอาไว้ ไม่ให้ คนเข้า (มุดยากด้วย เคยแล้ว ) ขายตั๋ว เข้าชม ฉาย หนัง กัน บางทีถึงเช้า ที่ คนอีสาน เรียกว่า “ซอดแจ้ง” ผมชอบไปดู แต่ ไม่เคย ดูจบ ไม่หลับไป ก็ โดนเรียกกลับบ้านเพราะง่วงกันต่อ
ตอนนั้น มีทีมที่ดังๆ เหมือนกัน นะ จำได้มี แอ๊ด เทวดา ทีมเน้นเรื่อง จอใหญ่ และ ระบบเสียงกระหึ่ม ไม่รู้ตอนนี้ ยังมีอยู่หรือเปล่า นะ
อีกอันที่ Classic มากคือหนังขายยา ..
หนังขายยา ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ เลย เพราะ ต้องไปที่ ห่างไกลความเจริญจริงๆ ผมเคยอยู่ครั้งไปนอนใน ตำบลกุดบง ที่ห่างจากตัวอำเภอ เพราะ ตามแม่เมียด ไปทำงาน วันนั้น ได้มีโอกาสดูหนังกลางแปลง และนั่งอยู่ใกล้กับ เครื่องฉาย ด้วย
ได้เห็นการฉายหนัง การที่คนฉาย ทำการพากย์หนัง แล้ว ก็มีหยุดกลางเรื่อง เพื่อ ทำการขายยา .. โอ้ว คนเดียวทำทุกอย่าง ตระเวณไปทั่วประเทศ … อินดี้ มากๆ
เป็นครั้งเดียวที่ได้ดู แต่ ก็จำได้ไม่ลืม ..ตอนนี้เข้าใจว่า คงไม่มีอาชีพนี้ อีกแล้ว เพราะ บ้านเทมืองเจริญขึ้น
นำเรื่องหนัง มาเล่า เพราะ ทุกวันนี้ ก็ยังชอบดูหนัง ถึงยุคจะเปลี่ยนเป็น Streaming หรือ เข้าไปดูแบบ VR การดูหนัง ก็ยังเป็น Entertain ที่ดี เสมอมา ..