17:00…ของวันพฤหัสที่ 23 สิงหาคม 2007
มีฝรั่งมาที่บริษัทครับ เลยโดนสั่งให้ประกบฝรั่งทั้งอาทิตย์
ถือว่าสัปดาห์นี้ต้องโชว์ฝีมือครับ เพราะเวลาคุยกับฝรั่งนี่ใช้มือมากกว่าปาก (ใช้มือ 80% ดวง 10% ปาก 7% และ สมอง 3%) นัยว่าใช้พลังงานเยอะกว่าปกติ วันนี้เลยตั้งใจจะกลับบ้านเร็วเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้พักผ่อนนอนชาร์ตแบทแต่หัวค่ำ…
กลับมาถึงบ้านนั่งตูดไม่ทันจะร้อน น้อง Paula ที่เพิ่งคบกันมาได้หกเดือนก็โทรมา…
น้อง Paula เป็นเด็กดูแลคนชราที่ผมได้มาจากศูนย์ จริงๆ ชื่อ “คำล่า” ผมเห็นว่าถ้าเปลี่ยนเป็น “Paula” จะ อินเทรนกว่า เลยถือวิสาสะ เปลี่ยนชื่อให้ ณ บัดดล….
“พี่ป๋องคะ…ตาไม่สบาย ค่ะ…ซึม และ เพลีย ไม่ค่อยพูด ตอนนี้ นอนหลับไปแล้ว”
ผมงงปนตกใจ…ก็สี่ชั่วโมงที่แล้วยังคุยเล่น เดิน เหิน ตามปกติ หลังจากโทรซักอาการของ “ตา” สักพัก ก็คว้ากุญแจโดดขึ้น Tibby บึ่งไปบ้านพ่อที่นครปฐมทันที
เสียงแม่พูดตามหลังมา..”อย่าขับรถเร็วนะลูก ค่อยๆ ไป….” ยังแว่วอยู่ในหู ทำให้เข็มไมล์ของ Tibby กระดิกได้ไม่เกิน ร้อย
…
…
ต้องย้อนกลับไปสัปดาห์ที่แล้วครับ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
เมื่อพฤหัสที่แล้ว ทหารเก่าอย่างพ่อ มีอันต้องเข้าไปพบหมอที่ศูนย์ประสาทวิทยาอีกครั้ง เพราะ ยืนแถวตรงไม่ได้ซะแล้ว จับยืนตรงทีไรเป็นเอียงโซเซ หัวทิ่มมาข้างหน้าตลอด… ตอนแรกผมนึกว่า เป็นเพราะหนักพุง เพราะช่วงหลังพ่อเจริญอาหารมากไปหน่อย พุงเริ่มโตขึ้น CG (Center of gravity) เลย offset ออกมา น่าจะเป็นสาเหตุให้หน้าทิ่ม แต่ดูไปดูมา คิดว่าไม่น่าจะใช่แล้วเมื่อก่อนก็พุงขนาดนี้ ก็ทรงตัวได้ดีไม่เห็นมีปัญหา ปัญหานี้เกินภูมิความรู้ที่มี เลยต้องกลับไปปรึกษาหมอระบบประสาทที่เค้าเรียนมาทางนี้จะดีกว่า
ใครมาศิริราช สิ่งหนึ่งที่ต้องพกมาด้วยคือความอดทด เพราะ ต้องมารอตั้งแต่หกโมงเช้า จะได้เจอหมอจริงๆ ก็ประมาณ 11:00 หมอดูอาการประมาณห้านาที หมอก็ยิ้มแล้วบอกว่า”เดี๋ยวผมนัดมาปรับ Shunt ผมมั่นใจว่าอาการคุณลุงจะดีชึ้นแน่นอน”
วันนี้ผมเลยพา”ทหารเก่า” มาตามคำสั่งของหมอที่สั่งให้ไปปรับ ”Shunt” ครับ
Shunt – แปลตรงตัว ก็คือ สับราง หลีกทาง แต่พอหมอเอามาใช้ ก็จะหมายถึงการฝังท่อ เพื่อ ให้ ของเหลวในร่างกาย ไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
กรณีของ Daddy ผมนี่ ต้องต่อให้น้ำในสมอง ไหลลงกระเพาะอาหาร ครับ เพราะ น้ำในสมองเยอะไป พอน้ำมันเยอะมันจะไปกดสมองน่ะครับ กดตรงไหนก็ได้เรื่องตรงนั้น กดถูกจุดอาจได้เดินโซเซ แต่ถ้ากดได้ที่ อาจถึงขั้นแขนขาไร้เรี่ยวแรง (เคยเล่าที่มาไว้ใน Blog เรื่อง Die Hard สนใจลองอ่านกันได้)
ในการทำ “Shunt” องค์ประกอบอีกอันที่สำคัญคือตัว relieve valve ที่จะทำหน้าที่ปล่อยให้ของเหลวไหลผ่านได้ เมื่อถึงระดับความดันที่ตั้งไว้ นั่นคือต้องรักษาระดับน้ำไว้ให้เหมาะ ถ้าน้ำน้อยไป สมองอาจยุบตัว ก็จะยุ่งเข้าไปอีก เรื่องการปรับระดับความดันส่วนสำคัญต้องไปดูที่ Valve เจ้า valve ที่ว่ามีทั้งที่ปรับตั้งด้วยมือที่ต้องมีการผ่าตัดเข้าไปปรับ และ แบบที่สามารถปรับตั้งได้จากภายนอก (ไม่ต้องทำการผ่าตัด) ความซับซ้อน และ ราคาค่าใช้จ่ายก็จะแตกต่างกันไป ในสองวิธีนี้แหล่ะครับ
Daddy ผมเล่นแบบปรับโดยไม่ต้องผ่า เพราะ 78 แล้ว ผ่ากันบ่อยๆ สมองติดเชื้อเข้าจะลำบาก หมอบอกว่าเรื่องน่ากลัวของการผ่าตัดเรื่องหนึ่งคือการติดเชื้อ และ ถ้าสมองติดเชื้อ จะผ่าเปิดกระโหลก เอา แอลกอฮอล์เช็ด ก็คงไม่ใช่เรื่องสนุก…เพราะฉะนั้นหลีกเลี่ยงไว้จะดีกว่า
ตอนที่ใส่ Shunt เข้าไป หมอจะตั้งระดับความดันไว้ที่ 100 mm ของน้ำ (ระดับความดันที่ทำให้น้ำขึ้นไปสูง 100 mm) มาวันนี้ก็จะปรับลงเหลือ 70 mm ของน้ำ…นัยว่าคราวนี้ก็ไหลกันคล่องขึ้นครับ…
05:00 ของวันพฤหัสที่ 23 สิงหาคม 2007
หลังหมอนัด หนึ่งอาทิตย์ วันนัดก็มาถึง ผม Paula และ พ่อ ตื่นกันแต่เช้า เพื่อจะได้เดินทางมาให้ถึงศิริราชประมาณ หกโมง เพราะช่วงเวลานี้ สะดวกต่อการหาที่จอดรถ ถ้ามาสายอาจต้องออกไปจอดตากแดดนอกโรงพยาบาล ทั้งร้อน ทั้งไกล และ ไม่ค่อยมีที่จอด
กิจกรรมที่โรงพยาบาลรวมๆ กันแล้ว ไม่เกินชั่วโมงหรอกครับ นอกนั้นเป็นเวลารอซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ คนบางชนชั้น เลือกที่จะไปใช้บริการโรงพยาบาลของเอกชน ซึ่งเหนือกว่าในจุดๆนี้
หมอนัดประมาณ 9:00 ได้ทำจริงก็ประมาณ 10:00 น่ะครับ หมอเจ้าของไข้ที่นัดไม่ได้มาเอง เพราะพักร้อน ก็มีหมอท่านอื่นมาทำให้ การปรับเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการเอาเครื่องมือมาปรับให้ภายนอก พ่อกลับบ้านประมาณเที่ยง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ จนกระทั่งห้าโมงเย็น….
17:00 ของวันพฤหัส เดียวกัน
Paula เล่าทางโทรศัพท์ให้ฟัง ว่า พ่อเริ่มซึม ไม่ค่อยพูดค่อยจา ดูเพลียๆ และ หลับค่อนข้างบ่อย จากที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ ชั่วโมงละสองรอบ หลังสี่โมงก็ไม่เข้าห้องน้ำอีกเลย…..
คำเตือนของหมอที่บอกไว้ตอนปรับ Shunt เสร็จ ลอยขึ้นมาให้ได้ยิน…ว่า “ถ้าคนไข้ซึม หรือ อาเจียน หรือ มีอาการผิดปกติ ให้รีบส่งมาที่นี่ทันที”….
หลังรับโทรศัพท์แจ้งข่าวจาก Paula ผมหมุนหา “พี่เหน่ง” หัวหน้าพยาบาลที่อยู่ตึก 72 ปี ชั้น 4 ผมเคยพูดคุยกับพี่เหน่งตอนที่เคยไปเฝ้าพ่อตอนผ่าตัดใส่ “Shunt” พอเล่าอาการให้พี่เหน่งฟัง ก็ได้รับคำแนะนำว่า สามารถรอดูอาการได้เผื่อว่าอาจเป็นอาการปกติหลังปรับ shunt แต่ ถ้าไม่ดีก็ส่งมา”ฉุกเฉิน” ที่ศิริราชได้เลย
หลังวางหูจากพี่เหน่งผม”บึ่ง” Tibby มาถึงที่บ้านนครปฐมของพ่อ สภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้นน่าตกใจ เพราะพ่อไม่โต้ตอบอะไรทั้งนั้น ตาลอย และ ไม่ให้ความร่วมมือในการเดิน หรืออะไรที่ผมถามเลย บางครั้งต้องเรียกหลายครั้งถึงจะหันมาให้ความสนใจ ผมพยายามคุยกับพ่อ จนเริ่มท้อ…ผมเลยตัดสินใจประคอง กึ่งอุ้ม ใส่รถ…ขาไปโรงพยาบาล นี่ขับต่างจากขาไปบ้านมากเพราะเห็นเลขไมล์ขึ้นมาแถวๆ 170 …แต่พ่อก็ยังนิ่ง ไม่ไหวติง
18:00 ที่ศิริราช ค่ำคืนนี้ยาวนาน
ผมอาจต้องกลับไปนิยามคำว่า”ฉุกเฉิน” ของที่ศิริราช กันใหม่เพราะ คนที่มา “ฉุกเฉิน” ที่นี่เยอะมาก เยอะกว่าเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ ทำให้การนั่งรอคิวที่นี่จะดูว่ายาวนานมาก คนไข้หลายคนร้องครวญคราง บางคนอาการหนัก ขากเสลดออกมาทีก็มีเลือดปนออกมาด้วย สารพัดเกินกว่าจะบรรยาย….การให้บริการก็ไม่ได้รวดเร็วทันใจสมชื่อ ฉุกเฉิน นึกๆไปก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ที่นี่ที่ต้องเจอภาพแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน ไม่เหมือนเราซึ่งนานๆ จะไปสักที เพราะสำหรับเรา เราก็อยากได้บริการที่รวดเร็ว ในขณะที่เจ้าหน้าที่ก็รู้สึกว่าเป็นเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ทุกวัน และ ได้ทำเต็มที่แล้ว….ซึ่งยังช้าไม่ทันใจอยู่ดี
ผมมาศิริราช เป็นครั้งที่สองในวันนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน เพราะ ทะเบียนประวัติของพ่อจะไม่อยู่ในที่ๆควรจะอยู่เนื่องจากอาจจะอยู่ระหว่างการส่งกลับมาเก็บที่เวชระเบียน ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเวชระเบียนแจ้งว่ายังไม่ได้รับ ประวัติของพ่อกลับมาจากตึกสยามมินทร์ที่พ่อไปตรวจเมื่อเช้า
“เจ้าหน้าที่ตึกโน้นเค้ายังไม่ส่งกลับมาคะ” ทางเวชระเบียนยืนยัน
“เราลองติดต่อไปได้มั๊ยครับ” ผมลองเสนอแนะไป
“ทางโน้นไม่มีเจ้าหน้าที่ค่ะ และ สำนักงานก็ล็อคหมดแล้ว” คงต้องรอพรุ่งนี้ล่ะคะ….จะรอได้ไงฟะ ผมนึก ก็พ่ออาการเป็นแบบนี้
“เดี๋ยวพยาบาลจะออก ใบแทน ให้นะคะ” ใบแทน คือ ใบประวัติที่ทำขึ้นมาเฉพาะกิจ โดยการสอบถามอาการจากคนไข้ ซึ่งจะไม่ได้ระบุประวัติการรักษาที่ผ่านมา ทำให้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ในการวินิฉัยได้ไม่มากนัก
“ให้ผมเดินไปเอาให้มั๊ยครับ” ผมเสนอตัว เพราะรู้ว่าหมอก็ไม่ยอมาดูสักที เพราะ ประวัติไม่มีนี่แหละ
“สำนักงานเค้าปิดแล้วค่ะ เข้าไปไม่ได้นะคะ”
…
20:00 น เริ่มหิว และ เหนื่อย
ผมแวะไปดูพ่อ เป็นระยะๆ หมอก็ยังไม่มาสักที เดินไปถามพยาบาล พยาบาลก็จะบอกว่ารอแฟ้มประวัติอยู่ จนสุดท้าย ผมก็ไปถามว่าหมอท่านไหนจะรักษา เพราะ รอไปอย่างไม่มีกำหนดอย่างนี้ไปทั้งคืนไม่ได้ ก็มีหมอท่านหนึ่งเชิญไปสักถามอาการเพื่อทำ “ใบแทน”
หมออายุรเวช สองท่าน เข้ามาดูอาการพ่อ น่าแปลกใจที่เวลาพ่ออยู่ต่อหน้าหมอแล้ว จะมีอาการดีขึ้น ตอบคำถามได้แทบทั้งหมด เล่นเอาหมอหันมาบอกผมว่า
“ก็ดูคุณลุงปกติดีนี่”
เอาละซิเจอหมอขึ้นมาหายเอาดื้อๆ ซะงั้น แต่ว่าหมอไม่เคยเห็นอาการพ่อตอนดีๆ ครับ เปรียบกันไม่ได้เพราะสภาพพ่อตอนนี้เหมือนคนแก่ทั่วไป ใครจะไปนึกว่าแกเป็นซูเปอร์แมนมาก่อน
ผมคะยั้นคะยอให้หมอตรวจอยู่สักพัก หมอก็เลยบอกว่าต้องตามหมอศัลย์ ที่ดูเรื่องระบบประสาท มาดู ผมเองเห็นด้วยทันทีเพราะรู้ว่างานนี้คงต้องหมอศัลย์ล่ะครับ เพราะ โจทย์มันออกมาแบบนั้น
หมอส่งพ่อไปทำการ Scan คลื่นสมอง ที่เค้าเรียก CT Scan อีกรอบ นี่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มานี่ พ่อทำ CT ร่วมสิบครั้งแล้วครับ ทำแต่ละครั้งก็ไม่ถูกเลย หลายตังส์เหมือนกัน
ดีว่าพ่อแกทหารเก่า เลยเบิกได้หมด ไม่งั้นเฉพาะค่าทำ CT Scan ตรงนี้ก็คงร่วมแสนแล้ว….
22:00 และแล้วหมอก็มา
หลังจากรออยู่สักพัก หมอศัลย์สองคนก็เข้ามาตรวจ ตรวจแล้วก็ปรึกษากัน กลับมาตรวจใหม่ ตรวจเสร็จก็เดินจากไป…ผมรอได้พักใหญ่จึงไปถามพยาบาลว่า..ตกลงตอนนี้ผมรออะไรอยู่
“รอหมอศัลย์ที่ senior มาดูนะค่ะ หมอจะมาดูประมาณ ตีหนึ่ง” พยาบาลยิ้มหวาน ให้คำตอบ
….
ถึงตอนนี้หมอเองก็ยังไม่ได้ประวัติของพ่อมาเลย ผมเองเดินไปเวชระเบียนอีกหลายรอบ ก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมว่า ทางตึกสยามมินทร์ ยังไม่ส่งมา และ ไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่แล้ว คงต้องรอ ถึงแม้ผมจะเสนอให้ค้นดูตรงกองที่เพิ่งส่งมาและยังไม่เข้าไปเก็บในที่ ก็ได้รับการยืนยันว่าหาสามรอบแล้วยังไม่เจอ
พยาบาลที่ห้องฉุกเฉินเองก็ต้องการที่จะได้ประวัติพ่อ เพราะหมอต้องใช้ดูประกอบการรกษา เลยมาถามว่าที่ตึกสยามมินทร์ไปตรวจห้องไหน เพราะจะได้โทรไปตามดู ผมเองเริ่มไม่แน่ใจชื่อห้อง เลยต้องย่องไปดูเอง เสียงพยาบาลแว่วเข้าหูมาว่า “ยามเค้าไม่ให้ขึ้นไปนะคะ”
…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยามเผลอ หรือ ผมหน้าตาเหมือนหมอก็ไม่ทราบ แผล่บเดียวก็มาอยู่ชั้นหกเรียบร้อย ผมกับ Paula สวมวิญญาณ อีธาน (พระเอกเรื่อง Mission impossible) ส่วน Paula คงรับบทหนูหิ่น เหมือนเดิม ย่องเข้าไปด้อมๆ มองๆ ที่ห้องสักพัก ผมก็ผลักประตูเข้าไปตรงที่เจ้าหน้าที่เค้าประชุมกันอยู่
ก่อนที่ทุกคนจะตั้งตัว ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็จบการ Brief ที่มาของปัญหาให้เค้าฟังจนหมด พูดเร็วปรื๋อ จนผมกลัวว่าเค้าจะฟังไม่ทัน
คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าใจเย้นเย็น ฟังผมไม่ขัดคอสักคำ จากนั้นก็ยิ้ม และ ผายมือไปห้องข้างๆ …ตอนนั้นผมได้ยินเสียงนุ่มๆลอยเข้าหู….
สงสัยคุณจะมาห้องผิดนะค่ะ ห้องที่คุณว่าน่าจะเป็นห้องข้างๆ มากกว่านะคะที่นี่ห้อง ICU คะ…
…
มาถึงห้องถัดไป หน้าตาห้องก็ไม่ได้ต่างกันหรอกครับ น้อง Paula ถึงจำผิด เจ้าหน้าที่เห็นผมทะเล่อเข้ามาก็ปราดเข้ามาบริการเลยทันที เพราะมันไม่ใช่เวลาเยี่ยมแล้ว ผมเล่าและคะยั้นคะยอ จนเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบบันทึกการรับ-ส่งเอกสารให้ ข้างในมีบันทึกไว้ชัดเจนว่าได้ส่งเอกสารกลับไปเวชระเบียนแล้ว เพราะมีลายเซ็นรับเอกสาร ช่างเป็นระบบที่รอบคอบ และ รัดกุมอะไรเพียงนี้ คุณเจ้าหน้าที่ เมื่อได้เอกสารนี้มาเหมือนได้อาวุธกายสิทธิ์ เธอส่งบันทึกให้ผม และ กำชับผมว่า “ให้กลับไปที่เวชระเบียน เอาบันทึกให้ดู และ บอกให้เค้า ค้นประวัติด่อคุณให้เจอให้ได้” ผมรับบันทึกใน้มาประหนึ่งว่าเป็นป้าย ฮ่องเต้ ที่จะสั่งได้ทั่วอาณาจักร ในใจยังนึกอยู่ว่า ทางเวชระเบียนจะว่ายังไง…
….
23:00 กว่าๆ กลับมาที่เวชระเบียนอีกครั้ง
ผมแบกหน้าเหี่ยวๆ ที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันกลับมาที่เวชระเบียน เจ้าหน้าที่ใส่เสื้อเหลืองคนเดิมยังนั่งทำงานอยู่ เหมือนจะจำเสียงผมได้ เค้าบอกโดยไม่ต้องเงยหน้ามามอง
“บอกแล้วไงคะ ว่าทางสยามมินทร์ยังไม่ได้ส่งเอกสารมา แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่แล้ว”
“กรุณาหาให้หน่อยครับ ผมจำเป็นต้องใช้จริงๆ” ผมอ้อนต่อแต่ยังไม่ได้แสดงบันทึก
“ทางนี้ก็หาสามรอบแล้วนะคะ” เจ้าหน้าที่ยืนยันเหมือนเดิม
“คงต้องรบกวนให้หารอบที่สี่แล้วล่ะครับ”…ผมยื่นบันทึกให้ดู “เจ้าหน้าที่ทางโน้นยืนยันว่าส่งมาแล้วจริงๆ” ผมย้ำคำว่า “เจ้าหน้าที่” เพราะแน่ใจว่าที่ผมไปเจอมาเป็นเจ้าหน้าที่จริงไม่ใช่ ผี…เพราะ เวชระเบียน ย้ำบ่อยว่าไม่มีคนทำงาน
“…” ไม่มีเสียงตอบมา แต่เจ้าหน้าที่ดูหน้าเสียเล็กน้อย และ จดตัวเลขจากบันทึกไป สุดท้ายเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า
“อาจต้องใช้เวลาหาหน่อยนะคะ”
……
00:40 หมอใหญ่มาแล้ว
หมอบรรพตคนนี้ตัวใหญ่จริงๆ ครับ เป็น Senior เป็นหมอที่ nice มากครับ ผมเคยคุยด้วยตอนพ่อมานอนที่ศิริราชช่วงแรกๆ วันนี้หมอต้องมาผ่าตัด พยาบาลเลยนัดให้มาดูพ่อ หลังประเมินอาการสักพัก หมอก็มาคุยกับผม
“ผมไม่เจออาการผิดปกติของคุณลุงเลยครับ ดูจากผล CT Scan แล้วก็ไม่เจออะไร”…จริงๆแล้วเป็นข่าวดีนะครับ แต่ อาการของพ่อ มันไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัย ของหมอ ผมเลยยังเป็นห่วงอยู่
“รออาจารย์ ไหวมั๊ยล่ะครับ พรุ่งนี้อาจารย์มาตรวจคนไข้ ปรึกษาอาจารย์น่าจะดีกว่า”….หมอ Hint ให้ขนาดนี้แล้ว ผมคงไม่รบเร้าแล้วล่ะครับ
คืนนี้จบลงประมาณเกือบตีสอง ครับ พร้อมกับความหวังที่จะเจอหมอในวันพรุ่งนี้
ช่างเป็นคืนที่ยาวนานจริงๆ……(ยังมีต่อ)
9 responses to “กลับมาโรงหมออีกแล้ว”
Nakin
สิงหาคม 29th, 2007 เวลา 11:48
Pi Pong\’s Dad…
Get well soon krub.. Last man standing…
ถูกใจถูกใจ
Narong
สิงหาคม 30th, 2007 เวลา 22:49
Thank you bro…for your kindly regards
ถูกใจถูกใจ
Strange Loop
สิงหาคม 31st, 2007 เวลา 08:48
ก่อนอื่นต้องแสดงความห่วงใย และ ส่งกำลังใจช่วยด้วยครับ ให้คุณพ่อพี่ป๋องดีขึ้นในเร็ววัน
พี่ป๋องนี่มีฝีมือในการถ่ายทอดเรื่องราวนะครับ อ่านแล้วเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องราวด้วยจริงๆ
อย่างว่าละครับ ชีวิตคนเรามันก็เป็นไปอย่างที่มันเป็นไป มีขึ้นมีลง มีเจ็บ มีสบาย เป็นธรรมดาของชีวิต หมุนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด ทำอะไรในชีวิต มันก็ไม่พ้น ผลของการทำนั้นๆ เป็นเช่นนั้นเอง อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันอย่างมีสติหรือไม่ หลายคนเมื่อประสพปัญหาแล้ว ก็สับสน ไม่สามารถเผชิญ หรือยอมรับมันได้ ไปกังวล กลัว จนไปบดบังสติปัญญาที่ควรจะต้องมีอย่างที่สุด ในเวลาวิกฤตนั้นๆ
สำหรับพี่ป๋อง ก็คงเป็นตัวอย่างที่ดี ให้คนรอบข้างได้เห็น ว่ามีจริงๆ คนดีๆ ที่ดูแล พ่อแม่อย่างไม่คิดเป็นอย่างอื่น อย่างนี้ ฝารั่ง เขาเรียกว่าเป็น อิน ซะ ปาย เร ชั่น ครับ
ถ้ามีโอกาส เราควรส่งเสริม สนับสนุนเรื่องที่เป็นประโยชน์ ต่อคนหมู่มาก โดยเฉพาะ เรื่องสุขภาพ การศึกษา และ ธรรมะ อย่างเรื่องหมอนี่ก็เข้าข่าย ว่า เราควรจะคิด ทำ ส่งเสริมให้ สังคมมีมาตรฐานการรักษาที่ดีขึ้น ถ้ามีโอกาสให้การสนับสนุนในเรื่อง การเรียน การแพทย์ และ คุณธรรม เราก็ต้องช่วยกันทำ ให้มันดียิ่งๆขึ้นไป คนไม่สบาย มันเป็นทุกข์แน่ ครอบครัวคนรอบข้างก็เป็นทุกข์ด้วย ทุกข์เหล่านี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันสามารถบรรเทาได้ มันสามารถทำให้ไม่ต้องมีทุกข์อื่นๆ (ที่ไม่ควรมี) มาทบถัม เอ๊ย ทับถมเข้าไปอีก มันต้องคิดแนวบวก แล้ว ลงมือทำ ช่วยกันเป็นเนืองๆ สังคมมันก็จะไปในทางที่น่าอยู่มากขึ้น
ผมเองก็มีประสพการณ์ทำนองนี้อยู่บ้าง ก็อยากจะแชร์ และให้กำลังใจครอบครัวพี่ป๋องให้สู้ แบบ ยิ้มหัวเราะเข้าใส่มันนะครับ ใจคนนี่มันลึกล้ำนะครับ คิดบวก ทำบวก มันบวกจริงๆนะครับ อย่างกรณีผม พี่ชายนอนโคม่ามาปีแล้ว ท้อมาก แต่ก็ต้องคิดบวกทำบวก เข้าไว้ แล้วมันดีขึ้นนะครับ ใจเรานะ ยิ่งไปซ้ำเติมด้วยการคิดเชิงลบ มันยิ่งแย่นะครับ อย่างนั้นเองถึงบอกว่า กรณีอย่างพี่ป๋องนี้เป็นตัวอย่าง การยิ้มรับสู้ปัญหาด้วยแนวคิดเชิงบวกจริงๆ น่านับถึอ
เท่านี้ละครับ
อ้อ เห็นมี เซสชั่น หนังในนี้ด้วย ว่างๆไม่เชิญนักวิจารณ์เก่าอย่างผม มาวิจารณ์มั่งเหรอครับ ผมเซียนหนังนะครับ แฮะ แฮะ
ถูกใจถูกใจ
Narong
กันยายน 1st, 2007 เวลา 01:10
ขอบคุณพี่ปูมากครับ ขอบคุณมากจริงๆ มานั่งอ่าน เมนท์พี่ปู ตอนตีหนึ่ง หายง่วงเลยครับ
อาจกล่าวได้ว่า การมานั่งเขียน Blog เป็นการ คลายเครียด และ ตั้งสมาธิ อย่างหนึ่งของผมด้วยครับ
มีนช่วยได้จริงๆ บางทีกลุ้มๆ กับ อาการพ่อ เครียดๆ กับงาน มานั่งเขียน Blog ก็เป็นการรำลึกทบทวนเหตุการณ์อย่างมีสตินะครับ (ถ้ามันไม่แตกไปเสียก่อน)
อีกทั้งเป็นการเก็บความทรงจำไว้ในที่ปลอดภัยครับ…เพราะ ผมเขียนเรื่องพ่อไว้อย่างละเอียดตั้งแต่ต่อนแกเจ็บ..ดันไม่ได้ Back up ไว้ พอเครื่องโดนฉกไปที่อิตาลี file งานอันมีมูลค่าเลยหายไปด้วย กลับมานั่งเขียนใหม่ ก็คงไม่ได้ feel นั้นแล้วครับ
…เคยคิดจะเขียนเรื่องพ่อตั้งแต่ท่านยังเด็ก เพราะประวัติท่านบู้ดีเหลือเกิน ไปรบมาก็หลายประเทศ …มัวแต่ผลัดไปเรื่อย มาวันนี่ต่อให้ว่างขนาดไหน ก็คงไม่มีปัญญาเขียนได้แล้ว เพราะ ความทรงจำท่านได้หายไปพร้อมอุบัติเหตุในครั้งนี้….
มันสอนให้ผมลดความผลัดวันประกันพรุ่งลงไปได้เยอะ…
ใครจะไปรู้…พรุ่งนี้จะมีอะไร
…
เรื่องหนังที่เขียนไว้ แค่จด หนัง กับ หนังสือ ที่ได้ดูได้อ่านน่ะครับ Note เล็กๆ อย่าถือว่าวิจารณ์เลยครับ แต่ comment พี่ปู ทำให้ผม อาจจะเขียนถึงหนังที่ชอบสักตอนนะครับ…ไว้เขียนแล้ว จะไปเชิญมาช่วยวิจารณ์ครับ
ถูกใจถูกใจ
Nualjira
กันยายน 1st, 2007 เวลา 10:53
เป็นกำลังใจให้พี่ป๋องลูกกตัญญูของเรานะคะ เพราะพี่เป็นลูกทหาร เข้มแข็งนะคร๊าบบบบบบ ขอให้คุณพ่อหายวันหายคืนนะคะ
ถูกใจถูกใจ
Anne
กันยายน 1st, 2007 เวลา 21:53
ได้คุยกับพี่ป๋องตอนประมาณห้าโมงเย็น ยังถามอยู่เลยว่าวันนี้ทำไมกลับบ้านเร็ว —" ไม่ไหวแล้วนู๋ เพลีย ขอกลับไปนอนเร็วๆสักวัน….." นั่นคือคำตอบ
แต่แล้วก็กลายเป็นอีกคืนที่ยาวนานสำหรับพี่ป๋อง รู้ว่าพี่ป๋องเหนื่อยมากๆและเพลียมากๆ ใครที่ยังไม่เจอช่วงเวลาแบบนี้ จะไม่เข้าใจว่ามันเหน็ดเหนื่อย
กังวลและทุกข์ขนาดไหน เจ็บป่วยห้ามกันไม่ได้ การเดินเข้าออกโรงพยาบาลมากกว่าห้างสรรพสินค้า แอนเชื่อว่าต้องผ่านกันทุกคน ช่วงนึงของชีวิต…ผ่านมาแล้ว
โรงพยาบาลคือบ้านที่สองของหนูเลยคะ เข้มแข็งนะคะพี่ป๋อง ให้เหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็เพื่อพ่อเราเอง อย่าท้อที่จะทำอะไรดีดีให้พ่อนะคะ วันนี้ความกตัญญูทีพี่มีต่อพ่อ
พี่ทำได้ดีที่สุดแล้วคะ แอนและคุณแม่เป็นกำลังใจให้พี่ทำสิ่งดีดี ให้พี่มีกำลังใจที่ดี เข้มแข็ง พร้อมทั้งให้คุณพ่อพี่ป๋องแข็งแรงขึ้นทุกวันทุกวันคะ
ถูกใจถูกใจ
อ๊อบเบ่อเร่อ
กันยายน 2nd, 2007 เวลา 13:22
เห็นใจทั้งนาย และ โรงบาลครับ (เพราะอยู่ที่นั่นมาก่อน)
ดีใจ ที่พี่ป๋อง ยังเข้าใจครับ เพราะ ฉุกเฉินที่นั่น ก็เป็นแบบที่ว่าน่ะครับ
ส่วนใหญ่ จะมีหมอ มาสอดส่องดูแบบที่เราไม่รู้ตัวก่อน แล้วแอบจัด priority ไว้ในใจ
เพราะ คง serve แบบ FIFO (First in First out) ไม่ได้
…
เอาใจช่วย และ พร้อมจะช่วย ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ ก็บอกนะครับ พี่
ถูกใจถูกใจ
SkyCarry
เมษายน 30th, 2008 เวลา 07:28
ขอบคุณมากค่ะพี่
จิงๆแล้วพ่ออุ้มพึ่งเปลี่ยนไตเมื่ปลายปีที่แล้ว
โดยที่คุณแม่เป็นคนให้ ช่วงเวลาสองสามปีอุ้มก็วิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลดูแลคุณพ่อมาตลอด
และไม่เคยยอมแพ้ จนกระทั่งวันนี้คุณพ่อดีขึ้นมากๆ
แต่ยังต้องระวังเรื่องการติดเชื้อ นิดหน่อยค่ะ
กำลังใจให้บุพการีมีเสมอค่ะ
นอกจากบางครั้งกำลังใจของตัวเอง อาจน้อยไปนิดนึง
ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ฟ้าอุ้ม
ถูกใจถูกใจ
Miss Sally
กุมภาพันธ์ 8th, 2010 เวลา 12:33
ถ้าจะเขียนหนังสือจริงๆ นู๋ว่า เรื่องพ่อ เป็นเรื่องที่พี่เขียนได้ดีที่สุด ในบรรดาทุกๆเรื่องที่นู๋อ่านมาทั้งหมดนะคะ อาจจะหยุดคิดเรื่องการตลาดซักพัก แล้วเปลี่ยนมามองว่า เขียนเรื่องพ่อเก็บไว้เป็นความภาคภูมิใจ นู๋ว่า ก็ไม่เลวนะคะ จะรอวันหนังสือออกคร่า ^_^08/02/2010, 12.32 น.
ถูกใจถูกใจ